วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

ข้อดีและข้อจำกัดของ Social Media

1. twitter
      Twitter.com เป็นบริการส่งข้อความเป็นประโยคสั้นๆ ที่คุณส่งไปนั้นจะเป็นการบอกว่า คุณ กำลังทำอะไรอยู่ในตอนนั้น เพื่อเป็นบันทึก ณ. ช่วงเวลานั้นว่าคุณทำอะไรอยู่ ลงไปในเว็บไซต์ของ Twitter.com เช่น "กำลังจะกินข้าว" "กำลังจะออกจากบ้าน" เป็นต้น และเมื่อคุณส่งประโยคสั้นๆ ไปเรื่อยๆ ในช่วงเวลาที่คุณมีเวลา และสามารถทำได้ เมื่อกลับมาอ่านมัน ข้อความทั้งหมด มันจะก็จะสามารถประติดประต่อ บอกเรื่องราวว่าคุณทำอะไรไปบ้างช่วงวันหนึ่งๆ ซึ่งจะสะดวกกว่าการ มานั่งหลังคดหลังแข็งมานั่งเขียนบล็อก ทั้งวัน นี้แหละที่Twitter.com เลยเข้ามาทดแทนและช่วยให้คนไม่ชอบเขียน บล็อก หันมาใช้บริการพวกนี้เยอะมากขึ้น
ข้อดี
1. ทวิตเตอร์สามารถแชร์ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพได้รวดเร็ว เพียงแค่ทวิตข้อความ Follower ของคุณก็จะทราบทันที
2. ผู้ใช้สามารถอัพเดตเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นที่ชาวทวิตเตอร์กำลังพูดถึงได้โดยดูจาก Trending เช่น การติดแท็กไว้อาลัยให้เนลสัน แมนเดลล่า โดยใช้แท็ก #RIPNelson Mandela และยังมีอีกแท็กศิลปินเกาหลีสุดฮอทของวันนี้คือ #SuperJuniorTheLastManStanding
3. สามารถแบ่งปันทวิตที่เราชอบและข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ได้โดยการรีทวิต
4. ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่ที่แสดงความเป็นตัวเอง โดยจะทวิตบ่นหรือแชร์เรื่องราวอะไรก็ได้ 
5. การอ่านข่าวในทวิตเตอร์จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่และยังได้รับรู้้ความคิดเห็นของผู้ที่ใช้ทวิตเตอร์คนอื่นๆ
ข้อเสีย
1. เนื่องจากข่าวสารในทวิตเตอร์นั้นแพร่กระจายไปได้รวดเร็วมากเพียงแค่กดรีทวิต ดังนั้นหากทวิตแล้วข้อมูลตกหล่นหรือผิดพลาด จะไม่สามารถแก้ไขได้
2. ทวิตเตอร์สามารถทวิตข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษรจึงต้องทวิตให้สั้น แต่บางครั้งการทวิตสั้นๆอาจจะสื่อความหมายได้ไม่ดีพอทำให้เกิดการเข้าใจผิดและรับสารได้ไม่ตรงกับที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อ
3. การรีทวิตข่าวสารที่ไม่มีที่มาหรือไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
4. หากทวิตข้อความหรือรีทวิตมากเกินไป อาจทำให้ฟอลโลเวอร์รำคาญได้
ข้อจำกัด
1. ทวิตเตอร์นั้นเป็นไมโครบล็อก ซึ่งสามารถทวิตข้อความได้ไม่เกิน140 ตัวอักษร หากผู้ใช้ต้องการทวิตข้อความมากกว่า140 ตัวอักษรจะต้องใช้ tweetlonger หรือ twiffo
2. ถ้าผู้ใช้ทวิตข้อความหลายข้อความและรีทวิตอีกจำนวนมากจะประสบปัญหาติดลิมิต ซึ่งก็จะทวิตและรีทวิตไม่ได้ไปชั่วคราว

3. ถ้าตั้งค่าบัญชีของตนเป็น Privacy คนที่ไม่ได้ติดตามเราก็จะไม่สามารถอ่านข้อความที่เราทวิตได้ และฟอลโลเวอร์ของเราก็จะไม่สามารถรีทวิตข้อความของเราได้
      ดังนั้นการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กผู้ใช้จำเป็นต้องมีวิจารณญาณในการเล่น เพราะสื่อสังคมออนไลน์นั้นเป็นทั้งสื่อที่มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ในเวลาเดียวกัน



2. Instagram
เป็น Social Media ที่การใช้งานจะเป็นการโพสต์รูปภาพหรือวิดีโอขนาดสั้นความยาว 15 วินาที แล้วภาพหรือวิดีโอนั้นๆจะขึ้นไปโผล่บน Timeline ของผู้ที่ติดตามเรา ถึงแม้ตัวเลขการใช้งานจะยังไม่สูงมาก แต่ก็มีผู้เล่นใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จำนวนคนใช้งานทั้งหมดในไทย : 1,700,000 คน  จำนวนคนใช้งานประจำในไทย : 816,000 คน เวลาที่มีคนใช้งานมากที่สุด : 23.00 น.
ข้อดี
1. เนื้อหาค่อนข้างง่ายในการดูสำหรับผู้ใข้งาน เพราะเป็นรูปภาพและวิดีโอขนาดสั้น
2. มีระบบ Hashtag ที่ค่อนข้างเสถียร ทำให้การค้นหา Hashtag ทำได้ง่าย
ข้อเสีย
1. กลุ่มผู้ใช้งานยังน้อย และผู้ใช้งานประจำก็ค่อนข้างน้อย (มีไม่ถึงหนึ่งล้านคน) ทำให้เราอาจจะเข้าถึงลูกค้าไม่ได้มาก
2. ไม่มีระบบการรับส่งข้อความ ทำให้พูดคุยกับลูกค้าแบบคนต่อคนไม่สะดวก
3. ไม่มีระบบโฆษณา ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้ถ้าผู้ติดตามเรายังมีน้อย
ข้อจำกัด
1. โพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอที่ไม่ใช่ของตัวเอง
2. โพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอสื่อลามกอนาจาร
3. โพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย
4. อย่าสแปม
5. ใช้คำหยาบคาย
6. ไม่ส่งเสริมหรือยกย่องการทำร้ายตนเอง

        เนื่องจากอินสตาแกรมมีผู้ใช้หลากหลายประเภททำให้บางครั้งเกิดการโพสต์ภาพเชิญชวนให้เห็นมาทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น กินอาหารแบบแปลก ๆ ที่เป็นอันตราย, เชิญชวนให้อดอาหาร, เชิญชวนให้ทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย สิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำอินสตาแกรม หากตรวจเจอจะถูกปิดบัญชีการใช้งานทันที 


3. YouTube
YouTube เป็นเว็บไซต์แลกเปลี่ยนภาพวิดีโอที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ที่สำคัญทุกอย่างฟรี โดยในเว็บไซต์นี้ ผู้ใช้สามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป เปิดดูภาพวิดีโอที่มีอยู่ และแบ่งภาพวิดีโอ เหล่านี้ให้คนอื่นดูได้ด้วย   โดยในเว็บไซต์นี้ ผู้ใช้สามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป เปิดดูภาพวิดีโอ ที่มีอยู่และแบ่งภาพวิดีโอ เหล่านี้ให้คนอื่นดูได้ด้วย  
 เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้ข้อมูลต่างๆซึ่งสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น การสอนการแต่งหน้า ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำความเข้าใจยาก ถ้าศึกษาจากหนังสือหรือนิตยสาร เราก็ไม่สามารถเห็นการลงมือปฏิบัติแต่งหน้าที่ชัดเจน เช่นการเลือกสี การลงสี และน้ำหนักหนัก-เบา แต่การศึกษาจาก youtube เราสามารถทำความเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
 ข้อดี
          1. เป็นแหล่งรวมความบันเทิง เช่น เพลง มิวสิควิดีโอ เป็นต้น
2. เป็นแหล่งเรียนรู้ให้ศึกษาการทดลองทางวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เช่น การทดลองทางด้านbiological molecular ได้แก่ การทำ PCR , พันธุวิศวกรรม เป็นต้น
3. สามารถทำให้เราติดตามดูละคร หรือรายการทีวีย้อนหลังได้ เช่นละครเนื้อคู่อยากรุ้ว่าใคร ตอนที่ 26 , WooDy Talk 25Jul10 1/4 อ้วน รีเทิร์น
ข้อเสีย
1. เยาวชนอาจจะนำ youtube มาใช้ในทางที่ผิด เช่น การใช้กำลังในการแก้ปัญหา แล้วถ่ายคลิปลง
ใน youtube ทำให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับผู้ที่เข้ามาดูคลิปนี้
2. เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่นการเอาหนังที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์มาลง youtube
3. มีคลิปที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน เช่นคลิปลามากอนาจาร คลิปที่ส่อแนวไปในทางมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
4.  เป็นการสร้างความเชื่อที่ผิดๆโดยการนำความนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นจริง เช่น การกินเมนทอสพร้อมน้ำอัดลมทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 


4. Facebook
 ข้อดี
    
       1.FaceBook จะเป็นการสร้างเครือข่ายและจุดประกายด้านการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง หากใช้ได้อย่างถูกวิธี
       2.ทำให้ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด
       3.ผู้ใช้สามารถสร้างเครือข่ายทางสังคม แฟนคลับหรือผู้ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน และทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้
       4.สามารถสร้างมิตรแท้ หรือเพื่อนที่รู้ใจที่แท้จริงได้
       5.FaceBook เป็นซอฟแวร์ที่เอื้อต่อผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัวทางสังคม ขาดเพื่อน อยู่โดดเดี่ยว หรือผู้ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ให้มีเครือข่ายทางสังคม และเติมเต็มชีวิตทางสังคมได้อย่างดี ไม่เหงาและปรับตัวได้ง่ายขึ้น
       6.สร้างเครือข่ายที่ดี สร้างความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจที่ดีแก่ผู้อื่นได้
ข้อเสีย
       1.FaceBook เป็นการขยายเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นการมีเพิ่มเพื่อนเครือข่ายที่ไม่รู้จักดีพอ จะทำให้เกิดการลักลอบขโมยข้อมูล หรือการแฝงตัวของขบวนการหลอกลวงต่างๆได้
       2.เพื่อนทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง Wall ของ FaceBook ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้
       3.Facebook อาจเป็นช่องทางในการสร้างสังคมแห่งการนินทา หรือการยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสังคมที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
       4.การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้
       5.เด็กๆที่ใช้เวลาในการเล่น Facebook มากเกินไป จะทำให้เสียการเรียน
       6.ในการสร้างความผูกพันและการปรับตัวทางสังคมเป็นการพบปะกันในโลกของความจริง มากกว่าในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นผู้อยู่ในโลกของไซเบอร์มากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาทางจิต หรือขาดการปรับตัวทางสังคมที่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น FaceBook ตั้งแต่ยังเด็ก
       7.FaceBook อาจเป็นแรงขับให้มีการพบปะทางสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงที่น้อยลงได้ เนื่องจากทราบความเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ในเครือข่ายอย่างตลอดเวลา
       8.นโยบายของบางโรงเรียน บางมหาวิทยาลัย บางครอบครัวหรือในบางประเทศมีปัญหามากมายที่เกิดจากFaceBook ทำให้ FaceBook ไม่ได้รับการอนุญาตให้มีในหลายพื้นที่


5 twoo
ข้อดี
1. พบปะผู้คนใหม่ๆ 
2. เป็นแอพที่ฟรี 
3. ใช้ง่าย 
4. สะดวกในการใช้
5. สมบูรณ์แบบในการสร้างมิตรภาพที่ดี
ข้อเสีย
1. อาจจะโดนหลอกได้ง่าย
2. เป็นแอพที่ฟรีก็จริง แต่อาจจะมีส่วนเสียก็ได้
3. ชาวต่างชาติเยอะ
4. ต้องเก่งภาษาอังกฤษเท่านั้น
5. พอจะยกเลิกเล่นยกเลิกยาก


6. xing
ข้อดี
1. เป็นกิจกรรมสำหรับของไอโฟน
2. จะช่วยให้คุณ on-the-Go การเข้าถึงมากกว่า 150,000 เหตุการณ์
3. ค้นหาการจัดประชุมสัมมนาและกิจกรรมเครือข่ายในบริเวณใกล้เคียงที่เห็นเหตุการณ์รายชื่อ XING
4. ดูว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปที่รายชื่อของคุณซิงและขยายเครือข่ายของคุณด้วยที่น่าสนใจ Mitteilnehmer
 5. เป็นแอปที่มีศักยภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการเจริญเติบโต
ข้อเสีย
1. มีแต่ภาษาจีน
2. ต้องใช้อินเทอร์เน็ตเล่น
3. อาจจะโดยหลอกได้ง่าย
4. ใช้ได้แต่ ไอโฟน และ ไอแพ็ท
5. เสียเงินเยอะ



7. renren      
ข้อดี 
1. ก็มีทุกอย่างๆ ที่ Facebook มี 
2. มีการอัพเดท status การแชร์ภาพถ่าย 
3. มีรายงานข่าวว่าการเข้ามาในตลาดหุ้นของ Renren
4. หาเพื่อนหรือหาตลาดขายสินค้า
5. ได้เจอผู้คนมากมาย
ข้อเสีย
1. สมัครยาก
2. มีแต่ภาษาจีน
3. เล่นยาก
4.อ่านยาก
5.ไม่เข้าใจ



8. Ving
ข้อดี
1. ใช้ feature อย่าง Vine Video Production เช่น stop motion หรือ ใส่ grid line
2. ส่งได้ทั้งข้อความที่เป็น text และ video
3. ส่งข้อความหาคนอื่นได้แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ได้ใช้งาน Vine
ข้อเสีย
1. ไม่สามารถสร้างกลุ่มเพื่อคุยแบบเป็นกลุ่มๆได้ (cannot create group message)
2. ไม่สามารถส่งภาพนิ่ง หรือ รูปถ่ายให้ผู้อื่นได้ (ส่งได้แค่ text หรือ video เท่านั้น)
3. ไม่สามารถส่งไฟล์ video ที่มีอยู่ในตัวเครื่องได้ (cannot send videos from Camera Roll)

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

IPV4 และ IPV6

เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต คงจะเคยเห็นตัวเลขแปลกๆ เช่น 127.0.0.1 หรือ 192.168.1.1 หรือจำนวนอื่นๆ ตัวเลขเหล่านี้คืออะไรกัน
            ตัวเลขเหล่านี้คือหมายเลข IP ประจำเครื่อง โดย IP ก็ย่อมาจากคำว่า Internet Protocol หน้าที่ของเจ้าเลขพวกนี้ก็คือ เป็นหลายเลขที่ใช้ในระบบเครือข่าย เป็นหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ในกรณีที่เราเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โทรศัพท์มือถือทุกเครื่องก็จะมีเลขหมายหรือเบอร์โทรศัพท์เพื่อบอกว่าถ้าจะติดต่อเครื่องนี้ให้โทรมาที่เบอร์นี้นะ เช่นเดียวกันคอมพิวเตอร์ก็มีเลขหมายหรือพูดง่ายก็คือชื่อมันนั่นเอง เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน
จากหมายเลข IP ที่ยกตัวอย่างไปด้านบน เราเรียกว่า IPv4  โดยจะเป็นหมายเลขที่มีทั้งหมด 32 บิต (แต่ละช่วงเว้นวรรคด้วย . ) แบ่งเป็นช่วงละ 8 บิต โดยตัวเลข 8 นี้ก็จะมีค่าตั้งแต่ 0 – 255 ดังนั้น IPv4 จึงมีหมายเลขได้ตั่งแต่ 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 แต่ก็ใช่ว่าทุกตัวจะใช้ได้หมดนะ เพราะจะมีบางหมายเลขที่ถูกเก็บไว้ใช้งานเฉพาะ
IPv4 ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น Class ชนิดต่างๆ เพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกันไป ดังนี้
คลาส A เริ่มตั้งแต่ 1.0.0.1 ถึง 127.255.255.254
คลาส B เริ่มตั้งแต่ 128.0.0.1 ถึง 191.255.255.254
คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.0.1.1 ถึง 223.255.254.254
คลาส D เริ่มตั้งแต่ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 ใช้สำหรับงาน multicast
คลาส E เริ่มตั้งแต่ 240.0.0.0 ถึง 255.255.255.254 ถูกสำรองไว้ ยังไม่มีการใช้งาน
สำหรับไอพีในช่วง 127.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 ใช้สำหรับการทดสอบระบบ
แต่หมายเลข IP ด้านบนนี้ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทคือ IP ส่วนตัว (Private IP) และ IP สาธารณะ (Publish IP)โดย IP ส่วนตัวมีไว้สำหรับใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ได้แก่
ไอพีส่วนตัว คลาส A เริ่มตั้งแต่ 10.0.0.0 ถึง 10.255.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.0.0.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัว คลาส B เริ่มตั้งแต่ 172.16.0.0 ถึง 172.31.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.240.0.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัว คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.168.0.0 ถึง 192.168.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.255.0.0 ขึ้นไป

            ไอพีส่วนตัวข้างต้นถูกกำหนดให้ไม่สามารถนำไปใช้งานในเครือข่ายสาธารณะ (Internet) ส่วน IP สาธารณะมีไว้สำหรับให้แต่ละองค์กร หรือแต่ละบุคคลใช้ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายเข้าหากัน
จากช่วงของ IPv4 ตั้งแต่ 1.1.1.1 ถึง 255.255.255.255 ถ้าคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องใช้หนึ่งหมายเลข เช่น เครื่องหนึ่งใช้ 1.1.1.1 เครื่องที่สองใช้ 1.1.1.2 เราก็จะประมาณได้ว่าเราจะมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงอยู่ในระบบเครือข่ายได้ทั้งหมดประมาณ 232 เครื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมาก แต่ก็ยังเยอะไม่พอ เพราะว่า IPv4 ที่แจกจ่ายให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วโลกได้กำลังจะหมดลงไปแล้ว
ถ้าเราซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาแล้วไม่มี IP ให้เราใช้ล่ะ วิธีการที่นักคอมพิวเตอร์แก้ไขก็คือการกำหนดหมายเลข IP ใหม่ขึ้นมา โดย IP ใหม่นี้ถูกเรียกว่า IPv6 (Internet Protocol version 6) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP โดย IPv6 นี้ใช้ระบบเลข 128 บิต ดังนั้นจึงมีจำนวน IP ได้มากสุดถึง 2128 หมายเลข เยอะมากที่จะพอให้มนุษย์บนโลกนี้ใช้ได้ไปอีกนานเลยทีเดียว
SUBNET MASK
Subnet mask เป็น Parameter อีกตัวหนึ่งที่ต้องระบุควบคู่กับหมายเลข IP Address หน้าทีของ subnet คือ ตัวที่แบ่ง IP address ที่ได้มาให้เป็นกลุ่มย่อย ช่วยในการแยกแยะว่าส่วนใดภายในหมายเลข IP Address เป็น Network Address และส่วนใดเป็นหมายเลข Host Address ดังนั้น ท่านจะสังเกตได้ว่า เมื่อเราระบุ IP Address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เราจำเป็นต้องระบุ Subnet mask ลงไปด้วยทุกครั้ง
Default Subnet mask ของแต่ล่ะ Class ดั้งนี้
• Class A จะมี Subnet mask เป็น 255.0.0.0 หรือเลขฐานสองดัง้นี้
11111111.00000000.00000000.00000000
(รวมเลข 1 ให้หมด ก็จะได้เท่ากับ 255)
• Class B จะมี Subnet mask เป็น 255.255.0.0 หรือเลขฐานสองดัง้นี้
11111111.11111111.00000000.00000000
• Class C จะมี Subnet mask เป็น 255.255.255.0 หรือเลขฐานสองดัง้นี้
11111111.11111111.11111111.00000000
"ตำแหน่งของ Bit ไหน ในหมายเลข IP Address ที่ถูกกันไว้ให้เป็น Network Address หรือ Subnet Address จะมีค่าของ Bit ตำแหน่งที่ตรงกันใน Subnet mask เป็น 1 เสมอ"
หลักการพื้นฐานของการทำ Subnet
หลักการทำงานมีอยู่ว่า เราจะต้องยืม bitในตำแหน่งที่แต่เดิมเคยเป็น Host Address มาใช้เป็น Sub-network Address ด้วยการแก้ไขค่า Subnet mask ให้เป็นค่าใหม่ที่เหมาะสม
สูตรการคำนวณ  2 ยกกำลัง n  - 2
การวางแผน คำนวณ Subnet
1. หาจำนวน Segment ทั้งหมดที่ต้องการ Subnet address   จำนวนใน Segment ในที่นี้ นับจำนวน network ที่อยู่ในแต่ล่ะฝั่ง Router หรือของ switch Layer 3 หรือ หากมีการ implement VLAN จะนับจำนวนของ VLANก็ได้
2. จำนวนเครื่อง computer ทั้งหมดในแต่ล่ะ Segment (ในที่นี้เราสมมุติ ว่าจำนวนเครืื่อง มีจำนวนใกล้เคียงกัน)
3. หาจำนวน bit ที่จะต้องยืมมาใช้เป็น Subnet Address โดยพิจารณาจาก ข้อ.1  และ ข้อ.2 โดยอาศัยสูตรง่าย ๆ
ถ้ายืมมาจำนวน x bit แล้ว ถ้านำเอา 2 มายกกำลังด้วย x แล้ว หักลบออกอีก 2 แล้วได้ค่ามากกว่า หรือ เท่ากับจำนวน
Subnet address ที่เราต้องการ
ขั้นต่อมา  ก็ต้องนำ bit ที่เหลือจากการยืมมา เข้าสูตรเดิมคือ  2 ยกกำลัง n -2 = ??
4. นำ subnet mask ที่ได้มาคำนวณร่วมกับหมายเลข Network Address เดิมเพื่อหา Subnet Address ทั้งหมดที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะนำไปกำหนดให้กับ Network แต่ล่ะ Segment
5. คำนวณหมายเลข IP Address ที่เป็นไปได้ทั้งหมดในแต่ล่ะ Subnet แล้วนำไป กำหนดให้กับเครื่อง computer เครื่อง server   และแต่ล่ะ interface ของ router จนครบ
 ถ้าสมมุติเราได้ IP ที่มีชุดหมายเลข Network เป็น 20.0.0.0 ซึ่งทางเทคนิคจะเห็นว่าเป็นหมายเลข IP Class A
ที่เป็น Private IP Address สามารถกำหนดให้เครื่อง ได้ตั้งแต่หมายเลข 20.0.0.1 - 20.255.255.254 โดยมีหมายเลข Network เป็น 20.0.0.0 และหมายเลข Broadcast เป็น
20.255.255.255 แล้วถ้าเรานำมาใช้จริงก็จะเห็นว่ามันจะเห็นกันทั้งหมดเพราะว่า มันอยู่ใน network เดียวกัน เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำ subnet เราก็แบ่งไปตามที่เราต้องการเช่น
เราอยากให้ byte ที่ 2 เป็นแผนก byte ที่ 3 เป็นหน่วยในแผนก (อันที่แบ่งผมมั่วๆนะคับ)ประโยชน์ของ subnet ก็คือเผื่อทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและเพื่อประโยชน์
ในด้านระบบความปลอดภัยของข้อมูล
NAT เป็นการแก้ปัญหาจากการที่อินเตอร์เน็ตมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ IP ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดย NAT สามารถแปลง IP หลายๆ ตัวที่ใช้ภายในเครือข่ายให้ติดต่อกับเครือข่ายอื่นโดยใช้ IP เดียวกัน ซึ่งวิธีการทำงานก็คือ
เมื่อมีการเริ่มทำงาน มันจะสร้างตารางไว้เก็บข้อมูล IP address ของเครื่องในเครือข่ายภายในที่ส่ง packet ผ่าน NAT device และจากนั้นมันก็จะสร้างตารางไว้เก็บข้อมูลหมายเลขพอร์ต ที่ถูกใช้ไปโดย outside IP address เมื่อมีการส่ง packet จากเครือข่ายภายในไปยังเครือข่ายภายนอก NAT device จะมีกระบวนการทำงานคือ
1. มันจะบันทึกข้อมูล source IP address และ source port number ไว้ในตารางที่เกี่ยวข้อง
2. มันจะแทนที่ IP ของ packet ด้วย IP ขาออกของ NAT device เอง (ในที่นี้คือ 203.154.207.76)
3. มันจะ assign หมายเลขพอร์ตใหม่ให้กับ packet และบันทึกค่าพอร์ตนี้ไว้ในตาราง และกำหนดค่านี้ลงไปใน source port number ของ packet นั้น
4. จากนั้นจะคำนวณหา IP, TCP checksum อีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
และเมื่อ NAT device ได้รับ packet ย้อนกลับมาจาก external network มันจะตรวจสอบ destination port number ของ packet นั้นๆ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูล source port number ในตารางที่บรรจุข้อมูลไว้ ถ้าเจอข้อมูลที่ตรงกันมันก็จะเขียนทับ destination port number, destination IP address ของ pakcet นั้นๆ แล้วจึงส่ง packet นั้นไปยังเครื่องอยู่ภายในเครือข่ายภายในที่เป็นผู้สร้าง packet นี้ขึ้นมาในครั้งแรก
Default gateway
เกตเวย์ (Gateway)
เป็นจุดต่อเชื่อมของเครือข่ายทำหน้าที่เป็นทางเข้าสู่ระบบเครือข่ายต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต ในความหมายของ router ระบบเครือข่ายประกอบด้วย node ของ gateway และ node ของ host เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ในเครือข่าย และคอมพิวเตอร์ที่เครื่องแม่ข่ายมีฐานะเป็น node แบบ host ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการจราจรภายในเครือข่าย หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต คือ node แบบ gateway
ในระบบเครือข่ายของหน่วยธุรกิจ เครื่องแม่ข่ายที่เป็น node แบบ gateway มักจะทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายแบบ proxy และเครื่องแม่ข่ายแบบ firewall นอกจากนี้ gateway ยังรวมถึง router และ switch
เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใช้สื่อส่งข้อมูลต่างชนิดกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งแบบ UTP เข้ากับ Token Ring LAN ได้

เกตเวย์เป็นเหมือนนักแปลภาษาที่ทำให้เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างชนิดกันสามารถสื่อสารกันได้ หากโปรโตคอลที่ใช้รับส่งข้อมูลของเครือข่ายทั้งสองไม่เหมือนกันเกตเวย์ ก็จะทำหน้าที่แปลงโปรโตคอลให้ตรงกับปลายทางและเหมาะสมกับอุปกรณ์ของฮาร์ดแวร์ที่แต่ละเครือข่ายใช้งานอยู่นั้นได้ด้วย ดังนั้นอุปกรณ์เกตเวย์จึงมีราคาแพงและขั้นตอนในการติดตั้งจะซับซ้อนที่สุดในบรรดาอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมด
default gateway คืออะไร
Default Gateway คือ ทางหลักในการสื่อสารกับ PC ที่อยู่ subnet อื่น โดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึง PC ที่ทำหน้าที่ DHCP Server ( แจก IP ) เมื่อมีข้อมูลที่ต้องส่งออกไป subnet อื่น ข้อมูลก็จะวิ่งผ่าน Default Gateway
อธิบายกันแบบง่ายๆชาวบ้านๆ มันก็คือ IP address ตัวนึงที่ถูกจองไว้สำหรับใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับเครื่องอื่นๆในเครือข่าย  ปกติแล้วในเครือข่ายเดียวกันหรือวงแลนเดียวกันจะต้องมีเลข default gateway เบอร์เดียวกันไม่งั้นจะเชื่อมต่อข้อมูลกันไม่ได้   และแน่นอนว่าเราไม่สามารถเอาเลข IP ของ default gateway มาใช้เป็น IP เครื่องเราได้
ยกตัวอย่าง default gateway ที่เราเห็นๆกันอยู่ก็คือ ip addrress ของ เราเตอร์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทตามบ้าน
suffix
suffix (ปัจจัย) คือคำที่เติมท้ายคำอื่น แล้วให้คำนั้นเปลี่ยนชนิดของคำไป (เช่น อาจเปลี่ยนจากคำนามเป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น) แต่ความหมายของคำนั้นยังเหมือนเดิม เช่น employ (ว่าจ้าง) เป็น verb (คำกริยา) หากเราเติม Suffix "-er" เป็นemployer (นายจ้าง ความหมายยังคล้ายของเดิม แต่ขอให้สังเกตว่าจะเปลี่ยนหน้าที่เป็น noun (คำนาม) เพื่อความสะดวกในการจำ เลยได้รวบรวมเป็นกลุ่มๆไว้ดังนี้
disconnected   คือ ตัดการเชื่อมต่อ
Ethernet   คือ   อีเธอร์เน็ต
Specific   คือ   โดยเฉพาะ
Adapter   คือ   อะแดปเตอร์